วันอาทิตย์ที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

คำกริยาที่เป็นได้ทั้ง stative verbs และ dynamic verbs



Dynamic verbs หรือ Action verbs  ก็คือคำกริยาที่แสดงอาการกระทำออกมา มีการขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวร่างกาย  ซึ่งคำกริยาในกลุ่มนี้มีเยอะแยะมากมาย  สามารถนำไปใช้ในรูปของSimple, Continuous และ Perfect ได้ โดยผันคำกริยาไปตามรูปแบบโครงสร้าง Tenses ของประโยค 

ส่วน Stative verbs หรือ State verbs นั้น เป็นคำกริยาที่ไม่ได้แสดงอาการกระทำออกมา  แต่แสดงสภาวะต่างๆ  เช่น การรับรู้ การแสดงความคิดเห็น ความเชื่อ การแสดงอารมณ์ความรู้สึกต่างๆ รวมไปถึงการวัด การประมาณค่า การแสดงความเป็นเจ้าของ  ซึ่งคำกริยาในกลุ่มนี้จะใช้กับ Simple Tense  จะไม่นำมาใช้ในรูปเติม –ing ใน Continuous Tense  ถึงแม้ว่าเหตุการณ์นั้นกำลังกระทำหรือดำเนินอยู่ก็ตาม

ทีนี้ เรามาเรียนรู้กันต่อว่า มีคำกริยาบางคำที่เป็นได้ทั้ง stative verbs (กริยาแสดงสภาวะ) และ dynamic verbs (กริยาแสดงอาการ) คำกริยาในกลุ่มนี้ เราสามารถใช้ได้ทั้ง Simple Tenseและ Continuous Tense  แต่จะมีความหมายที่แตกต่างกัน  เช่น
think
see
look
smell
taste
feel
Have/ has

·                      think it’s wrong to hit children. (ฉันคิดว่ามันไม่ถูกต้องที่ตีเด็กๆ) 
             think ในประโยคนี้เป็น stative verb คือเป็นความเชื่อ ความคิดเห็น
·                     I’m thinking about my new house. (ผมกำลังคิดถึงบ้านใหม่ของผม) 
             think ในประโยคนี้เป็น action verb คือใช้สมองในการคิดพิจารณา

·                     see what your point is. (ฉันเข้าใจจุดมุ่งหมายของคุณว่าคืออะไร) 
             see ในประโยคนี้เป็น stative verb คือเป็นความรู้สึกในการรับรู้ 
·                     I am seeing someone. (ผมกำลังคบหากับใครบางคน) 
            see ในประโยคนี้เป็น active verb คือเป็นอาการกระทำกำลังคบหา

·                     That cake looks delicious. (เค้กนั่นดูอร่อยน่าทานจัง) 
             look ในประโยคนี้เป็น stative verb คือเป็นความรู้สึก
·                     Paul’s looking for me. (พอลกำลังมองหาฉัน) 
             lookในประโยคนี้เป็น active verb คือเป็นการกระทำกำลังมองหา

 ·                     smell something burned. (ฉันได้กลิ่นบางอย่างไหม้)
             see ในประโยคนี้เป็น stative verb คือเป็นความรู้สึกในการรับรู้ 
·                     That little girl’s smelling the flowers. (เด็กผู้หญิงคนนั้นกำลังดมกลิ่นดอกไม้)
             see ในประโยคนี้เป็นactive verb คือเป็นอาการกระทำกำลังดม

·                     This meat tastes like lamb(เนื้อนี้รสชาติเหมือนแกะ)
             taste ในประโยคนี้เป็น stative verb คือเป็นความรู้สึกในการรับรู้รสชาติ
·                     My mother’s tasting the curry to see if it needs more fish sauce. (แม่ของฉันกำลังชิมแกงเพื่อดูว่าจำเป็นต้องเติมน้ำปลาเพิ่มอีกมั้ย)
             taste ในประโยคนี้เป็น active verb คือเป็นการกระทำกำลังชิม

·                     This room feels so hot. (ห้องนี้รู้สึกร้อนจัง)
              feel ในประโยคนี้เป็น stative verb คือเป็นความรู้สึกในการรับรู้
·                     Jim’s feeling much better now. (สุขภาพของจิมกำลังดีขึ้นมากตอนนี้)
              feel ในประโยคนี้เป็น active verbคือเกี่ยวกับภาวะสุขภาพที่กำลังดีขึ้นมาก

·                     Jai has a new computer. (ใจมีเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องใหม่)
            has ในประโยคนี้เป็น stative verb คือการแสดงความเป็นเจ้าของ
·                     I’m having dinner right now. (ฉันกำลังทานอาหารเย็นอยู่ตอนนี้)
            have ในประโยคนี้เป็น active verb คือการกระทำกำลังทาน

** เพราะฉะนั้น คำกริยาในกลุ่มนี้ ที่เป็นทั้ง dynamic verbs และ stative verbs เราก็ต้องพยายามแยกแยะให้ออกว่าคำกริยาใดเป็น stative verbs แสดงสภาวะ ความรู้สึก การรับรู้ หรือแสดงความเป็นเจ้าของ และคำกริยาใดเป็น dynamic verbs ที่แสดงอาการกระทำออกมา เราจะได้นำไปใช้ได้อย่างถูกต้อง


Stative verbs และ Dynamic verbs นั้น คืออะไร..?


               
Dynamic verbs และ Stative verbs นั้น ต่างกันอย่างไร..?

คำกริยาในภาษาอังกฤษนั้น เราทราบกันดีอยู่แล้วว่า คือ อาการกระทำ ซึ่งมีอยู่เยอะแยะมากมาย
  แบ่งออกเป็นหลายกลุ่มหลายประเภท เช่น regular verbs, irregular verbs, infinitive verbs, past verbs, past participle verbs, helping verbsหรือ auxiliary verbs  แต่วันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับคำกริยาอีกกลุ่มหนึ่ง   ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 2 ประเภท คือ

     1. Dynamic verbs หรือ Action verbs   (คำกริยาแสดงอาการ)
     2. Stative verbs หรือ State verbs   (คำกริยาแสดงสภาวะ)

Dynamic verbs หรือ Action verbs  เป็นคำกริยาที่แสดงอาการกระทำออกมา มีการขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวร่างกาย ซึ่งคำกริยาในกลุ่มนี้มีเยอะแยะมากมาย  เช่น  play, rain, watch, buy, work, meet, drink, run, speak, start, pay, study ฯลฯ
·                     She plays tennis every Friday. (เธอเล่นเทนนิสทุกวันศุกร์)
·                     It’s raining at this moment. (ฝนกำลังตกอยู่ในตอนนี้)
  • Last night, he got angry at me because I changed the channel while he was watching his favorite show. (เมื่อคืนนี้ เขาโกรธฉัน เพราะว่าฉันเปลี่ยนช่องขณะที่เขากำลังดูรายการโปรด)
  • My mother bought a new car last week. (แม่ของผมซื้อรถคันใหม่อาทิตย์ที่แล้ว)
  • They have worked since 6 o’clock this morning.(พวกเขาทำงานตั้งแต่ 6 โมงเช้านี้)
  • Jake has been studying Thai since 2001. (แจคเรียนภาษาไทยมาตั้งแต่ปี 2001)
** เราจะเห็นได้ว่า คำกริยาในกลุ่ม Dynamic verbs (คำกริยาแสดงอาการ) นี้ สามารถนำไปใช้ในรูปของ Simple, Continuous และ Perfect ได้ โดยผันคำกริยาไปตามรูปแบบโครงสร้าง Tenses ของประโยค  



Stative verbs หรือ State verbs (กริยาแสดงสภาวะ)  เป็นคำกริยาที่ไม่ได้แสดงอาการกระทำออกมา  แต่แสดงสภาวะต่างๆ  เช่น การรับรู้ การแสดงความคิดเห็น ความเชื่อ การแสดงอารมณ์ความรู้สึกต่างๆ รวมไปถึงการวัด การประมาณค่า การแสดงความเป็นเจ้าของ

Stative verbs (คำกริยาแสดงสภาวะ) นี้ เราไม่สามารถนำไปใช้ในรูปของ Continuous Tense ได้  ซึ่งคำกริยาในกลุ่มนี้  เราจะใช้กับ   Simple Tense  จะไม่นำมาใช้ในรูปเติม –ing ใน Continuous Tense   ถึงแม้ว่าเหตุการณ์นั้นกำลังกระทำหรือดำเนินอยู่ก็ตาม  เพื่อให้ง่ายต่อการเข้าใจ เราแบ่งคำกริยากลุ่มนี้ออกเป็นกลุ่มย่อยๆ ได้ ดังนี้

1. กริยาที่แสดงประสาทสัมผัสการรับรู้
Feel
รู้สึก
hear
ได้ยิน
see
เห็น,เข้าใจ,พบ,คบหา
Smell
ได้กลิ่น
sound
เกิดเสียง,ดูเหมือนว่า
taste
รู้รส,ชิม
seem
ดูเหมือนว่า
appear
ปรากฏ,ดูเหมือน



·                     I hear some music playing. (ฉันได้ยินเสียงเพลงบรรเลง)
·                     I’m hearing some music playing.
·                     This perfume smells like rose.  (น้ำหอมนี้กลิ่นคล้ายดอกกุหลาบ)
·                     This perfume is smelling like rose.
·                     He seems upset right now. (เขาดูเหมือนว่าอารมณ์เสียอยู่ตอนนี้)  
·                     He’s seeming upset right now.                     

2. กริยาที่แสดงสภาพจิตใจ ความรู้สึกหรืออารมณ์

love
รัก
dislike
ไม่ชอบ
want
ต้องการ
like
ชอบ
hate
เกลียด
wish
ปรารถนา
need
จำเป็น
prefer
ชอบมากกว่า
hope
หวัง
mind
รังเกียจ
fear
กลัว
enjoy
สนุกสนาน
envy
สนุกสนาน
regret
เสียใจ
please
ทำให้พอใจ,พอใจ
adore
ชื่นชม,รักมาก
surprise
ทำให้ประหลาดใจ
satisfy
ทำให้พอใจ


·                     They like Durian ice cream. (ฉันชอบไอศครีมทุเรียน)
·                     They’re liking Durian ice cream.
·                     I hope I can do it. (ผมหวังว่าผมสามารถทำมันได้)
·                     I’m hoping I can do it.
·                     She wants money now. (เธอต้องการเงินตอนนี้)
·                     She’s wanting money now.
3. กริยาที่แสดงสภาวะทางความคิด

understand
เข้าใจ
know
รู้
consider
พิจารณา
remember
จำ
recognize
จำได้,รู้จัก
assume
ทึกทักเอา
think
คิด
realize
รู้,สำนึก
agree
เห็นด้วย
suppose
ทึกทักเอา
Imagine
จินตนาการ
disagree
ไม่เห็นด้วย
doubt
สงสัย
believe
เชื่อ
deny
ปฏิเสธ,ไม่ยอมรับ
mean
ตั้งใจ,มีความหมายต่อ
forget
ลืม
promise
ให้สัญญา

- I’ve known my best friend since childhood. (ผมรู้จักเพื่อนที่ดีที่สุดของผมมาตั้งแต่เด็กๆ)
·                     I’ve been knowing my best friend since childhood.
·                     We agree with you. (เราเห็นด้วยกับคุณ)
·                     We’re agreeing with you.
·                     He understands the lesson.  (เขาเข้าใจบทเรียน)
·                     He’s understanding the lesson.

4. คำกริยาแสดงความเป็นเจ้าของ   
    * belong (เป็นของ)  have/has (มี)  own (เป็นเจ้าของ)  possess (ครอบครอง,ครอบงำ,เป็นเจ้าของ)
·                     This book belongs to me. (หนังสือนี้เป็นของฉัน)
·                     This book’s belonging to me.
·                     They have a luxury car. (พวกเขามีรถคันหรู)
·                     They’re having a luxury car.

5. คำกริยาแสดงการวัดหรือประเมินค่า    
    * weigh (ชั่งน้ำหนัก)  measure (วัด)  cost (มีราคา)  contain (บรรจุ)
·                     This piece of meat weighs 2 kilograms. (เนื้อชิ้นนี้หนัก 2 กิโลกรัม)
·                     This piece of meat’s weighing 2 kilograms.
·                     It cost 250 baht. (มันราคา 250 บาท)
·                     It’s costing 250 baht.

6. คำกริยาแสดงสภาวะอื่นๆ
seem
ดูเหมือนว่า
exit
ออกจาก
deserve
สมควรได้รับ
appear
ปรากฏ,ดูเหมือน
include
รวมอยู่
matter
มีสาระ
require
ต้องการ
involve
เกี่ยวพัน,พัวพัน
lack
ขาด,ไม่มี
owe
เป็นหนี้
depend
ขึ้นอยู่กับ



·                     This box contains a pair of earrings. (กล่องนี้บรรจุต่างหู 1 คู่)
·                     This box‘s containing a pair of earrings.
·                     Success depends on your efforts. (ความสำเร็จขึ้นอยู่กับความพยายามของคุณ)
·                     Success’s depending on your efforts.
·                     This class will involve lots of research. (ชั้นเรียนนี้จะเกี่ยวข้องกับการวิจัยมากมาย)
·                     This class will be involving lots of research.

หมายเหตุ
    ** คำกริยา stative verbs บางคำมี 2 ความหมาย เป็นได้ทั้ง stative verbs (กริยาแสดงสภาวะ) และ dynamic verbs (กริยาแสดงอาการ)  ทีนี้ เรามาเรียนรู้กันต่อว่า คำกริยาที่เป็นได้ทั้ง dynamic verbs และ stative verbs นั้น มีอะไรบ้าง..?